หมอประดิษฐ
ชี้ภัยร้ายโรคมะเร็งก่อเหตุคนไทยตายชั่วโมงละ 7 ราย
ป่วยเพิ่มปีละกว่า 1 แสนราย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเผยมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1
ของคนทั่วโลกปีละ 7.6 ล้านคน พบผู้ป่วยรายใหม่ 12.7 ล้านคน
ส่วนคนไทยคาดมีผู้ป่วยรายใหม่ปีละกว่า 100,000 ราย เสียชีวิตกว่า
6 หมื่นราย เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย
มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักแนวโน้มเพิ่มขึ้น
เร่งศึกษาความเป็นไปได้การตรวจคัดกรองในประชาชนอายุ 50 ปี 70 ปี
เพื่อผลักดันเป็นนโยบายประเทศ ลดการป่วยและเสียชีวิต
นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 4
กุมภาพันธ์ของทุกปี องค์การอนามัยโลกและสมาคมต่อต้านมะเร็งสากล
กำหนดให้เป็นวันมะเร็งโลก (World Cancer Day)
เพื่อบรรเทาปัญหาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย
ปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของโลก ในปี 2551
องค์การอนามัยโลกรายงานทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการตรวจวินิจฉัย
12.7 ล้านราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 7.6 ล้านราย หรือร้อยละ 13
ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ส่วนในปี 2573 หรืออีก 17 ปีข้างหน้า
คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยใหม่ 21.3 ล้านคน และจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น
13 ล้านคน โดยในปีนี้ได้กำหนดแนวคิดการรณรงค์ว่า มะเร็ง-คุณรู้แค่ไหน
(Cancer Did you know?)
เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจโรคมะเร็งอย่างถูกต้อง โดยมะเร็งร้อยละ
30-40 สามารถป้องกันได้ด้วยการลดพฤติกรรมเสี่ยง
และหากได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะสม
จะสามารถป้องกันและได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่อว่า
สำหรับประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายสิบปี
ล่าสุดในปี 2554 มีผู้เสียชีวิต 61,082 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย
เป็นชาย 35,437 ราย และหญิง 25,645 ราย
องค์การอนามัยโลกคาดมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 118,600 ราย
และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มะเร็งที่ผู้ชายป่วยมากที่สุดได้แก่มะเร็งตับ ปอด ลำไส้และทวารหนัก
ต่อมลูกหมาก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนในผู้หญิงได้แก่มะเร็งเต้านม
ตับ ปากมดลูก ปอด ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
จากการใช้ชีวิตแบบคนเมือง นิยมกินแต่เนื้อสัตว์ กินผักผลไม้น้อย
ออกกำลังกายน้อย กระทรวงสาธารณสุข
จึงได้เตรียมผลักดันการเพิ่มการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
เป็นนโยบายของประเทศเช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
โดยได้มอบให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
และสถาบันวิจัยและประเมินเทคโลยีทางการแพทย์ หรือไฮแทป
ศึกษาความเป็นไปได้ คาดจะเสร็จภายในกลางปีนี้ เพื่อเสนอต่อครม.
ซึ่งการตรวจคัดกรองจะเป็นการค้นหาคนที่เริ่มมีความผิดปกติของลำไส้
เพื่อเข้าสู่ระบบการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาได้เร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
โอกาสหายมีมาก การเสียชีวิตลดลง
ด้านนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า
ที่ผ่านมาพบว่าคนไทยยังมีความเชื่อผิดๆเรื่องโรคมะเร็งว่าเป็นโรคเคราะห์กรรม
หรือเชื่อว่าเป็นแล้วต้องตาย รักษาไม่ได้
จึงไม่ได้ให้ความสนใจที่จะป้องกันหรือเข้ารับการตรวจคัดกรองตามที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์
เนื่องจากเซลล์มะเร็งใช้เวลาก่อตัวนานและไม่แสดงอาการใดๆ ให้รู้
ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่มาพบแพทย์ประมาณร้อยละ 70-80
อยู่ในระยะเซลล์ลุกลามไปที่อวัยวะอื่นแล้ว โอกาสหายมีน้อยมาก
ทำให้สถิติการเสียชีวิตติดอันดับ 1 กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งแก้ไข
โดยพัฒนาระบบการป้องกันด้วยการรณงค์ลดพฤติกรรมเสี่ยง 5
สาเหตุหลักคือบุหรี่ เหล้า เพิ่มการกินผักผลไม้ การออกกำลังกาย
การควบคุมน้ำหนักตัว และบริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี
เริ่มตั้งในเด็กแรกเกิด ฉีด 4ครั้งจนถึงอายุ 6
เดือนเพื่อป้องกันมะเร็งตับ
และเพิ่มระบบการตรวจคัดกรองมะเร็งที่พบบ่อยคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม
ในด้านการรักษาผู้ป่วย ได้พัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคมะเร็งให้มีประจำใน
12 เครือข่ายบริการ ตามแผนพัฒนาะบบบริการสุขภาพ
โดยมีสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ
เทคโนโลยีชั้นสูงในการตรวจวินิจฉัยและรักษา นอกจากนี้
กระทรวงสาธารณสุขยังได้ตั้งเป้าหมายใน 5 ปี จังหวัดในภาคอีสาน 20
จังหวัด มีไข่พยาธิใบไม้ตับน้อยกว่าร้อยละ 10 และภายใน 3 ปี
สตรีไทยมีการตรวจเต้านมจนสามารถพบมะเร็งในระยะ 1-2
ซึ่งเซลล์มะเร็งยังไม่แพร่กระจาย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ในปี 2557
ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
และคิวรอการฉายแสงรักษามะเร็งลดลงกว่าร้อยละ 50
รวมทั้งให้โรงพยาบาลทุกแห่งมีระบบการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้าย ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณภาพ
สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ด้านนายแพทย์ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ
ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้
สถาบันมะเร็งฯ จะจัดกิจกรรมเสวนาสำหรับประชาชน เนื่องในวันมะเร็งโลก
ที่โรงแรมรามาการ์เดนท์ กทม.
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องลบล้างตำนานความเชื่อแบบผิดๆ
ในเรื่องโรคมะเร็งแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากนี้
ยังได้จัดการประชุมระดมสมองโดยมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้บริหาร
ร่วมกันปรับแผนป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหาของประเทศในปัจจุบันมากขึ้น
นายแพทย์ธีรวุฒิกล่าวต่อว่า
สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
สถาบันมะเร็งฯ ได้จัดทำโครงการศึกษานำร่องที่จังหวัดลำปางตั้งแต่ปี
2553 ในกลุ่มประชาชนอายุ 50 70 ปี
ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบผู้ป่วยมากที่สุด โดยตรวจคัดกรองจำนวน 78,000 ราย
ด้วยการใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายราคาประมาณ 60 บาท
เพื่อตรวจหาเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระ ผลปรากฎตรวจพบร้อยละ 1.1 หรือ 858
ราย และได้ส่งต่อไปรับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
ผลจากการส่องกล้องของผู้ป่วยจำนวน 561 ราย พบผู้ป่วยมะเร็ง 26 ราย
มีติ่งเนื้อที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง 153 ราย ได้ส่งตัวเข้ารักษาทันที
ซึ่งการตรวจคัดกรองนี้ถือว่าได้ผลดี มีต้นทุนต่ำมากเพียง 60 บาท
และหากพบผู้ป่วยจะสามารถนำเข้าระบบการรักษาได้เร็ว
เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
แต่หากตั้งรับรอรักษาผู้ป่วยเมื่อมีอาการลุกลามไปแล้ว
โอกาสหายมีน้อยมากและค่ารักษาสูงนับแสนบาท
หากโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักได้รับการประกาศเป็นนโยบายชาติ
จะเป็นผลดีกับประชาชนอย่างมาก และการปฏิบัติไม่ยุ่งยาก
โดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย ตรวจได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
และให้เครือข่ายอสม.ที่มีกว่า 1 ล้านคนรณรงค์ให้ประชาชน อายุ 50 ปี 55
ปี 60 ปี 65 ปี และ70 ปี ซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคน
เก็บตัวอย่างอุจจาระมาตรวจ หากพบมีเม็ดเลือดแดงแฝง
ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจมีความผิดปกติของลำไส้
จะส่งต่อไปรับการตรวจวินิจฉัยในโรงพยาบาลและให้การรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ สัญญาณอันตรายของมะเร็ง 7
ประการ ได้แก่1.ระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะผิดปกติ เช่น
ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด 2.กลืนอาหารลำบาก
หรือมีอาการเสียดแน่นท้องเป็นเวลานาน
3.มีอาการเสียงแหบและไอเรื้อรัง4.มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น
มีกลิ่นเหม็น5.เป็นแผลรักษาไม่หาย 6.ก้อนหูดหรือไฝตามร่างกายโตขึ้น
และ7.มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ขอให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาโดยละเอียดต่อไป
**************************** 3
กุมภาพันธ์ 2556
|